เมนู

[117] ครั้งนั้นแล ท่านพระปุณณะชื่นชมยินดีพระภาษิตของ
พระผู้มีพระภาคเจ้า ลุกจากอาสนะ ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า ทำ
ประทักษิณแล้ว เก็บเสนาสนะแล้ว ถือบาตรและจีวรหลีกจาริกไปทาง
สุนาปรันตชนบท เมื่อเที่ยวจาริกไปโดยลำดับ ก็บรรลุถึงสุนาปรันตชนบท
ได้ยินว่า ท่านพระปุณณะอยู่ในสุนาปรันตชนบทนั้น ครั้งนั้นแล ใน
ระหว่างพรรษานั้น ท่านพระปุณณะให้ชาวสุนาปรันตชนบทแสดงตนเป็น
อุบาสกประมาณ 500 คน ได้ทำวิชชา 3 ให้แจ้งและปรินิพพานแล้ว
ครั้งนั้นแล ภิกษุมากด้วยกันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ แล้ว
นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ กุลบุตรชื่อว่าปุณณะที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสอนด้วย
พระโอวาทอย่างย่อนั้น ทำกาละแล้ว กุลบุตรนั้นมีคติเป็นอย่างไร มี
อภิสัมปรายภพเป็นอย่างไร. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
กุลบุตรชื่อว่าปุณณะ เป็นบัณฑิต กล่าวคำจริง กล่าวธรรมสมควรแก่ธรรม
มิได้ลำบากเพราะเหตุแห่งธรรม ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กุลบุตรชื่อว่าปุณณะ
ปรินิพพานแล้ว.
จบ ปุณณสูตรที่ 5

อรรถกถาปุณณสูตรที่ 5


ในปุณณสูตรที่ 5 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า ตญฺเจ ได้แก่ จักขุปสาทรูป และรูป. บทว่า นนฺทิสมุทยา
ทุกฺขสมุทโย
ความว่า เพราะประชุมแห่งตัณหา ความประชุมแห่งทุกข
ขันธ์ 5 ย่อมมี. ดังนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงยังวัฏฏะให้ถึงที่สุดแล้ว
จึงทรงแสดงโดยสัจจะ 2 ด้วยคำว่า นนฺทิสมุทยา ทุกฺขสมุทโย ดังนี้
ในทวารทั้ง 6.

ในนัยที่สอง พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงให้วิวัฏฏะถึงที่สุดแสดงโดย
สัจจะ 2 คือ นิโรธ มรรค. บทว่า อิมินา ตฺวํ ปุณฺเณ เป็นอนุสนธิ
แผนกหนึ่ง.พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงใส่เทศนาลงในพระอรหัตโดยวัฏฏะและ
วิวัฏฏะ อย่างนี้ก่อนแล้ว บัดนี้เพื่อจะให้พระปุณณเถระ บันลือสีหนาท
ในฐานะ 7 จึงตรัสคำอาทิว่า อิมินา ตฺวํ.
บทว่า จณฺฑา ได้แก่ ดุร้าย คือ กล้าแข็ง. บทว่า ผรุสา
ได้แก่ หยาบ. บทว่า อกฺโกสิสฺสนฺติ ความว่า จักด่าด้วยอักโกสวัตถุ 10.
บทว่า ปริภาสฺนฺติ ความว่า ย่อมขู่ว่า ท่านชื่อว่า เป็นสมณะอย่างไร
เราจักทำสิ่งนี้ และสิ่งนี้แก่ท่าน. บทว่า เอวเมตฺถ ความว่า จักมีแก่เรา
ในที่นี้ด้วยอาการอย่างนี้. บทว่า ทณฺเฑน ได้แก่ด้วยท่อนไม้ยาว 4 ศอก
หรือด้วยค้อนไม้ตะเคียน. บทว่า สตฺเถน ได้แก่ ด้วยศัสตรา มีคม
ข้างเดียวเป็นต้น.
บทว่า สตฺถหารกํ ปริเยสนฺติ ความว่า ย่อมแสวงหาศัสตรา
เครื่องนำไปเสียซึ่งชีวิต. คำนี้พระเถระกล่าวหมายเอาการแสวงหา ศัสตรา
ฆ่าตัวตาย ของพวกภิกษุผู้ฟังอสุภกถา เพราะเรื่องตติยปาราชิกแล้วเกลียด
ด้วยอัตภาพ. บทว่า ทมในคำว่า ทมูปสมเนน นี้นั้นเป็นชื่อของอินทรีย-
สังวรเป็นต้น. จริงอยู่ในบาลีว่า สจฺเจน ทนฺโต ทมสา อุเปโต
เวทนฺตคู วุสิตพฺรหฺมจริโย
ภิกษุเป็นผู้มีสัจจะฝึกตนเข้าถึงทมะ ถึงที่สุด
เวท อยู่จบพรหมจรรย์นี้ อินทรียสังวร ท่านกล่าวว่า ทมะ ในบาลีว่า
ยทิ สจฺจา ทมา จาคา ขนฺตฺยาภิยฺโยว วิชฺชติ แปลว่า ถ้าสัจจะ
ทมะ จาคะ ขันติ ย่อมมียิ่งขึ้นไซร้นี้ ปัญญาท่านกล่าวว่า ทมะ. ในบาลีว่า

ทาเนน ทเมน สญฺญเมน สจฺจวาเจน แปลว่า ด้วยการให้ การฝึก
การสำรวม และด้วยสัจจวาจา นี้ อุโปสถกรรม ท่านกล่าวว่า ทมะ.
แต่ในสูตรนี้ ขันติ พึงทราบว่า ทมะ. บทว่า อุปสโม เป็นไวพจน์
ของคำว่า ทโม นั้นนั่นเอง.
บทว่า อถโข อายสฺมา ปุณฺโณ ความว่า ก็ท่านปุณณะนี้เป็นใคร
และเพราะเหตุไรท่านจึงประสงค์จะไปในที่นั้น. แก้ว่า ท่านเป็นผู้อยู่ใน
สุนาปรันตชนบทนั่นเอง. แต่ท่านได้กำหนดที่อยู่อันไม่เป็นสัปปายะใน
กรุงสาวัตถี จึงประสงค์จะไปในที่นั่น.
ในข้อนั้น จะกล่าวตามลำดับความดังต่อไปนี้.
เล่ากันมาว่า ในแคว้น สุนาปรันตะ ในหมู่บ้านพ่อค้าแห่งหนึ่ง
ชนทั้ง 2 นั้น เป็นพี่น้องกัน ใน 2 คนนั้นบางคราว พี่ชายพาเกวียน
500 เล่ม ไปสู่ชนบทนำสินค้ามา. บางคราวก็น้องชาย ก็ในสมัยนี้
พักน้องชายไว้ในเรือน พี่ชายพาเกวียน 500 เล่ม เที่ยวจาริกไปในชนบท
ถึงกรุงสาวัตถีโดยลำดับ พักเกวียน 500 เล่ม ไว้ในที่ไม่ใกล้พระเชตวัน
รับประทานอาหารเข้าแล้ว แวดล้อมไปด้วยชนบริษัทนั่งในที่มีความผาสุก.
สมัยนั้น ชาวกรุงสาวัตถี บริโภคอาหารเข้าแล้ว อธิฏฐานองค์
อุโบสถ ห่มผ้าเฉวียงบ่าอันหมดจด ถือของหอมและดอกไม้เป็นต้น น้อม
โน้มเงื้อมไป ในพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์อยู่ ออกทางประตู
ด้านทักษิณไปยังพระเชตวัน. เขาเห็นชนเหล่านั้น จึงถามมนุษย์คนหนึ่ง
ว่าคนพวกนี้จะไปไหน. คนนั้นกล่าวว่า นายท่านไม่รู้หรือว่า ชื่อพระรัตนะ

คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เกิดขึ้นแล้วในโลก มหาชนนั้น
พากันไปสำนักพระศาสดา เพื่อจะฟังธรรมกถาด้วยประการฉะนี้. คำว่า
พุทฺโธ ได้เฉือนผิวหนังตั้งจดเยื่อกระดูกของเขา. เขามีบริษัทของตน
แวดล้อม ไปวิหารพร้อมด้วยบริษัทนั้น เมื่อพระศาสดาทรงแสดงธรรม
ด้วยพระสุรเสียงอันไพเราะ ยืนฟังธรรมอยู่ท้ายบริษัท ก็เกิดจิตคิดจะ
บรรพชา.
ลำดับนั้น เมื่อพระตถาคตทรงทราบเวลาแล้วส่งบริษัทไป เขาจึง
เข้าไปเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคม นิมนต์เพื่อเสวยอาหารในวันรุ่งขึ้น ให้
สร้างมณฑปในวันที่ 2 ให้ปูอาสนะ ถวายมหาทานแก่สงฆ์มีพระพุทธเจ้า
เป็นประธาน บริโภคอาหารเช้าแล้ว อธิษฐานองค์อุโบสถ ให้เรียกผู้รักษา
เรือนคลังมาสั่งว่า ทรัพย์มีประมาณเท่านี้เราสละแล้ว ทรัพย์มีประมาณ
เท่านี้ เราไม่พึงสละ จึงบอกเรื่องทั้งหมด กล่าวว่า ท่านจงให้สมบัตินี้
แก่น้องชายของเราดังนี้ มอบทรัพย์ทั้งหมดให้แล้วบวชในสำนักของ
พระศาสดา บำเพ็ญกรรมฐานเป็นเบื้องหน้า.
ลำดับนั้น เมื่อท่านมนสิการพระกรรมฐานอยู่ กรรมฐานไม่ปรากฏ.
แต่นั้น ท่านคิดว่า ชนบทนี้ ไม่เป็นที่สบายสำหรับเรา ถ้ากระไร
เราพึงเรียนพระกรรมฐานในสำนักพระศาสดา จะพึงไปในสถานที่ของตน
นั่นแล. ครั้นเวลาเช้า ท่านก็เที่ยวไปบิณฑบาต ตอนเย็นออกจากที่เร้น
เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ให้ตรัสบอกพระกรรมฐาน บันลือสีหนาท
7 ครั้งแล้วก็หลีกไป. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อถโข อายสฺมา
ปุณฺโณ ฯลฯ วิหรติ.

ถามว่า ก็พระปุณณะนี้ อยู่ที่ไหน. ตอบว่า อยู่ในสถานที่ 4 แห่ง.
อันดับแรก ท่านเข้าไปยังแคว้นสุนาปรันตะ ถึงภูเขา ชื่อว่า อัพพุหัตถะ
แล้วเข้าไปบิณฑบาตยังวานิชคาม.
ลำดับนั้น น้องชาย จำท่านได้จึงถวายภิกษากล่าวว่า ข้าแต่ท่าน
ผู้เจริญ ขอท่านอย่าไปในที่อื่น จงอยู่แต่ในที่นี้เท่านั้น ให้ท่านรับคำแล้ว
ให้อยู่ในที่นั้นนั่งเอง.
แต่นั้น ท่านก็ได้ไปวิหารชื่อสมุทคิรี ในที่นั้นมีที่จงกรมซึ่งสร้าง
กำหนดด้วยแผ่นหินตัดเหล็ก ไม่มีใครที่สามารถจะจงกรมที่จงกรมนั้นได้ใน
ที่นั้น คลื่นในสมุทรมากระทบที่แผ่นหินตัดเหล็กกระทำเสียงดัง พระเถระ.
คิดว่า ภิกษุทั้งหลายผู้มนสิการพระกรรมฐานอยู่ ขอจงมีความผาสุก
จึงอธิษฐานทำสมุทรให้เงียบเสียง.
ต่อจากนั้น ก็ได้ไปยังมาตุลคิริ. ในที่นั้นมีฝูงนกหนาแน่น ทั้งเสียง
ก็ต่อเนื่องเป็นอันเดียวกันทั้งกลางคืนและกลางวัน. พระเถระคิดว่า ที่นี้
ไม่เป็นที่ผาสุก จากนั้นจึงได้ไปยังวิหาร ชื่อว่า สมกุลการาม. วิหารนั้น
ไม่ไกลนักไม่ใกล้นักจากวานิชคาม สมบูรณ์ด้วยคมนาคม สงัดเงียบเสียง.
พระเถระคิดว่า ที่นี้ผาสุก จึงได้สร้างที่พักกลางคืนที่พักกลางวัน และที่
จงกรมเป็นต้นในที่นั้นแล้วเขาจำพรรษา. ท่านได้อยู่ในที่ 4 แห่ง
ด้วยประการฉะนี้.
ภายหลัง ณ วันหนึ่ง ในภายในพรรษานั้นนั่นเอง พวกพ่อค้า
500 คน บรรทุกสินค้า ลงในเรือด้วยหวังว่าจะไปสู่สมุทรโน้น. ในวันที่ลง
เรือน้องชายของพระเถระให้พระเถระฉันแล้ว รับสิกขาบทในสำนักของ

พระเถระ ไหว้แล้ว กล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ขึ้นชื่อว่าสมุทรไว้ใจไม่ได้
ขอท่านทั้งหลายพึงนึกถึงเราดังนี้แล้วขึ้นเรือไป. เรือแล่นไปด้วยความเร็ว
สูง เกาะน้อยแห่งหนึ่ง. พวกมนุษย์ คิดกันว่า พวกเราจะหาอาหาร
เช้ากินดังนี้แล้วลงที่เกาะ. ก็ในเกาะนั้นสิ่งอะไร ๆ อื่นไม่มี มีแต่ป่าไม้
จันทน์เท่านั้น.
ลำดับนั้นคน ๆ หนึ่ง เอามีดเคาะต้นไม้ รู้ว่าเป็นจันทน์แดง จึง
กล่าวว่า ท่านผู้เจริญ พวกเราไปสู่สมุทรโน้นเพื่อต้องการลาภ ก็ขึ้นชื่อว่า
ลาภยิ่งไปกว่านี้ไม่มี ปุ่ม ประมาณ 4 นิ้ว ได้ราคาตั้งแสน พวกเราบรรทุก
สินค้าอันควรจะบรรทุกให้เต็มด้วยไม้จันทน์. คนเหล่านั้น ได้กระทำ
เหมือนอย่างนั้นแล้ว. พวกอมนุษย์ ผู้สิงอยู่ในป่าไม้จันทน์โกรธแล้วคิดว่า
คนเหล่านี้ ทำป่าไม้จันทน์ของพวกเราให้ฉิบหาย พวกเราจักฆ่าคนพวกนั้น
ดังนี้แล้วกล่าวว่า เมื่อคนเหล่านั้น ถูกฆ่าในที่นี้แล ซากศพแต่ละซากศพ
ทั้งหมดก็จักปรากฏมีในภายนอก เราจักจมเรือ ของพวกมันเสียกลางสมุทร.
ครั้นในเวลาที่คนเหล่านั้นลงเรือ ไปได้ครู่เดียวเท่านั้น พวกอมนุษย์
เหล่านั้น ทำอุปาติกรูป (รูปผุดเกิดฉับพลัน) ปรากฏขึ้นเองแล้วแสดงรูป
ที่น่าสะพึงกลัว. พวกมนุษย์กลัว นอบน้อมต่อเทวดาของตน. กุฏุมพี ชื่อ
จุลลปุณณะ น้องชายของพระเถระ ได้ยืนนอบน้อมพระเถระด้วยระลึกว่า
ขอพี่ชายจงเป็นที่พึ่งของเรา.
ได้ยินว่า ฝ่ายพระเถระนึกถึงน้องชายในขณะนั้นเหมือนกันรู้ว่าคน
เหล่านั้น เกิดความย่อยยับจึงเหาะไปยินอยู่ตรงหน้า. พวกอมนุษย์ พอเห็น
พระเถระ คิดว่า พระผู้เป็นเจ้าปุณณเถระมา ก็หลบไป. รูปที่ผุดขึ้นก็

สงบไป. พระเถระปลอบใจคนเหล่านั้นว่า อย่ากลัวไปเลย ดังนี้แล้วถามว่า
พวกนั้น ประสงค์จะไปไหน. คนเหล่านั้น กล่าวว่า ท่านผู้เจริญ พวก
กระผม จะไปสถานที่ของพวกผมนั่นแหละ พระเถระเหยียบกราบเรือแล้ว
อธิษฐานว่า ขอเรือจงไปสู่ที่พวกเขาปรารถนา. พวกพ่อค้าไปถึงที่ของตน
แล้ว บอกเรื่องนั้นแก่บุตรและภรรยา อธิษฐานว่า พวกเราขอถึงพระ-
เถระนั้นว่าเป็นที่พึ่ง ทั้ง 500 คน พร้อมด้วยภรรยา 500 คน ตั้งอยู่ใน
สรณะ 3 รับปฏิบัติตนเป็นอุบาสก. แต่นั้นก็ขนสินค้าลงในเรือ จัดเป็น
ส่วนหนึ่งสำหรับพระเถระแล้วกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ นี้เป็นส่วนของท่าน.
พระเถระกล่าวว่า อาตมาไม่มีกิจในส่วนหนึ่ง ก็พระศาสดาพวกท่านเคย
เห็นแล้วหรือ. ม. ไม่เคยเห็นขอรับ. ถ. ถ้าเช่นนั้นพวกท่านจงสร้างโรง-
กลม เพื่อพระศาสดาด้วยส่วนนี้ พวกท่านจงเฝ้าพระศาสดาด้วยอาการ
อย่างนี้. คนเหล่านั้นรับว่า ดีละขอรับจึงเริ่มเพื่อจะสร้างโรงกลมด้วย
ส่วนนั้น และด้วยส่วนของตน.
ได้ยินว่า พระศาสดา ได้ทรงกระทำโรงกลมนั้น ให้เป็นโรงฉัน
จำเดิมแต่กาลเริ่มทำมา. พวกมนุษย์ผู้รักษา เห็นรัศมีในกลางคืนได้ทำ
ความสำคัญว่า เทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่มีอยู่. อุบาสกทั้งหลาย ทำโรงกลม
และเสนาสนะสำหรับสงฆ์เสร็จแล้ว ตระเตรียมเครื่องประกอบทานแล้ว
แจ้งแก่พระเถระว่า ท่านผู้เจริญ กิจของตนพวกผมทำแล้ว ขอท่านจง
กราบทูลพระศาสดาเถิด. ในเวลาเย็นพระเถระไปยังกรุงสาวัตถีด้วยฤทธิ์
อ้อนวอนพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญพวกคนชาววานิชคาม
ประสงค์จะเฝ้าพระองค์ ขอพระองค์โปรดกระทำอนุเคราะห์ แก่คนเหล่า
นั้นเถิด. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับนิมนต์แล้ว. พระเถระกลับมาที่อยู่
ของตนตามเดิม.

ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกพระอานันทเถระมาตรัสว่า
อานนท์ พรุ่งนี้พวกเราจักเที่ยวบิณฑบาต ในวานิชคาม แคว้นสุนาปรันตะ
เธอจงให้สลากแก่ภิกษุ 499 รูป. พระเถระรับพระดำรัสแล้ว จึงได้บอก
ความนั้นแก่ภิกษุสงฆ์แล้วกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ขอภิกษุผู้เดินทางไปทาง
อากาศจงจับฉลาก. วันนั้น พระกุณฑธานเถระได้จับฉลากเป็นที่หนึ่ง.
ฝ่ายพวกคนชาววานิชคาม คิดว่า ได้ยินว่าพรุ่งนี้พระศาสดาจักเสด็จมา
จึงกระทำมณฑปที่กลางบ้าน แล้วตระเตรียมโรงทาน. พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงชำระพระวรกายแต่เช้าตรู่ เสด็จเข้าไปยังพระคันธกุฎี ทรงนั่งเข้าผล
สมาบัติ. บัณฑุกัมพลสิลาอาสน์ของท้าวสักกะแสดงอาการร้อนแล้ว ท่าน
รำพึงว่านี้อะไรกัน จึงเห็นพระศาสดาเสด็จไปยังแคว้นสุนาปรันตะ จึงตรัส
เรียกวิสสุกัมเทพบุตรมาสั่งว่า พ่อเอ้ย วันนี้พระผู้มีพระภาคเจ้า จักเสด็จ
เที่ยวบิณฑบาต ประมาณ 300 โยชน์ ท่านจงสร้างเรือนยอด 500 หลัง
จงประดิษฐานเตรียมไว้ยอดซุ้มประตูพระวิหารพระเชตวัน. วิสสุกรรม-
เทพบุตรก็ได้จัดตามเทวโองการ เรือนยอดของพระผู้มีพระภาคเจ้าได้เป็น
4 มุข. ของพระอัครสาวก 2 มุข. นอกนั้นมีมุขเดียว. พระศาสดา เสด็จ
ออกจากพระคันธกุฎี เสด็จเข้าไปเรือนยอดที่ใกล้ ในบรรดาเรือนยอดอัน
ตั้งไว้ตามลำดับ. มีภิกษุ 499 รูป นับตั้งแต่พระอัครสาวกเป็นต้นไป
จึงได้เข้าไป ได้มีเรือนยอดว่างอยู่หลังหนึ่ง. เรือนยอดทั้ง 500 หลัง
ลอยละลิ่วไปในอากาศ.
พระศาสดา เสด็จถึงสัจจพันธบรรพต ได้พักเรือนยอดไว้บนอากาศ
ดาบสผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ ชื่อว่า สัจจพันธ์ที่บรรพตนั้น ให้มหาชน ถือ

มิจฉาทิฏฐิ เป็นผู้ถึงความเป็นเลิศด้วยลาภและเลิศด้วยศอยู่. แต่ธรรม
อันเป็นอุปนิสสัยแห่งพระอรหัตตผลในภายในของท่านย่อมรุ่งโรจน์เหมือน
ประทีปลุกโพลงในภายในฉะนั้น.
พระศาสดาครั้นทรงเห็นดังนั้นแล้ว จึงคิดว่าเราจักแสดงธรรมแก่
เขา ดังนี้แล้วจึงเสด็จไปแสดงธรรม.
ในเวลาจบเทศนา พระดาบส บรรลุพระอรหัต. อภิญญา มาถึง
ท่านพร้อมด้วยพระอรหัตที่บรรลุนั่นเอง. ท่านเป็นเอหิภิกษุ ทรงไว้ซึ่ง
บาตรและจีวรอันสำเร็จแล้วด้วยฤทธิ์ ก็เข้าไปเรือนยอด (หลังที่ว่าง)
พระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมด้วยภิกษุ 500 รูป ผู้อยู่ที่เรือนยอด
เสด็จไปวานิชคาม กระทำเรือนยอดไม่ให้มีใครเห็นแล้ว เสด็จเข้ายัง
วานิชคาม. พวกพ่อค้า ถวายทานแด่สงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน
แล้วนำพระศาสดาไปยังกุฏาคาร. พระศาสดาได้เสด็จเข้าไปยังโรงกลม.
มหาชน บริโภคอาหารเช้าตราบเท่าที่คิดว่า พระศาสดาทรงสงบระงับความ
หิวอาหาร แล้วสมาทานองค์อุโบสถ ถือเอาของหอมและดอกไม้เป็นอันมาก
กลับมายังอารามเพื่อต้องการฟังธรรม. พระศาสดาทรงแสดงธรรมเกิดเป็น
ประมุขที่ผูกเป็นหุ่นของมหาชน. โกลาหลเพราะพระพุทธองค์ได้มีเป็น
อันมาก.
พระศาสดาประทับอยู่ในที่นั้นนั่นเองตลอด 7 วัน เพื่อสงเคราะห์
มหาชน. พออรุณขึ้นก็ได้ปรากฏอยู่ในมหาคันธกุฏีนั้นเอง. ในที่สุดแห่ง
พระธรรมเทศนา 7 วัน การตรัสรู้ธรรม ได้มีแก่สัตว์ 84,000 พระองค์
ประทับอยู่ ณ ที่นั้น 7 วัน เสด็จเที่ยวบิณฑบาตในวานิชคาม ให้

พระปุณณเถระกลับด้วยตรัสสั่งว่า เธอจงอยู่ในที่นี้แล ได้เสด็จไปยังฝั่ง
แม่น้ำ นัมมทานที อันมีอยู่โดยลำดับ. พระยานาคนัมมทา
กระทำการต้อนรับพระศาสดา ให้เสด็จเข้าไปสู่ภพนาค ได้กระทำสักการะ
ต่อพระรัตนตรัย. พระศาสดาแสดงธรรมแก่พระยานาคนั้น แล้วออกจาก
ภพนาค. พระยานาคนั้น อ้อนวอนว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์
จงประทานสิ่งที่ควรสละแก่ข้าพระองค์. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดง
เจดีย์คือรอยพระบาทไว้ ณ ฝั่งแม่น้ำ นัมมทานที เจดีย์คือรอยพระบาท
นั้น เมื่อคลื่นหลากมา ๆ ย่อมปิด เมื่อคลื่นไปแล้วย่อมเปิดออก ความถึง
พร้อมด้วยมหาสักการะได้มีแล้ว. พระศาสดาเสด็จออกจากที่นั้น แล้ว
เสด็จไปยังสัจจพันธบรรพต ตรัสกะสัจจพันธภิกษุว่า เธอทำให้มหาชน
หยั่งลงไปในทางอบาย เธอจงอยู่ในที่นี้แหล่ะ ให้ชนเหล่านั้นสละลัทธิเสีย
แล้วให้ดำรงอยู่ในทางแห่งพระนิพพาน. ฝ่ายพระสัจจพันธภิกษุนั้น ทูลขอ
ข้อที่ควรประพฤติ. พระศาสดาแสดงพระเจดีย์ คือรอยพระบาท ที่หลัง
แผ่นหินแท่งทึบ เหมือนรอยตรา ที่ก้อนดินเหนียวเปียก. แต่นั้นก็เสด็จ
กลับพระวิหารเชตวันตามเดิม. ท่านหมายเอาข้อนั้น จึงกล่าวคำมีอาทิว่า
เตเนว อนฺตรวสฺเสน เป็นต้น.
บทว่า ปรินิพฺพายิ ได้แก่ ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสปรินิพพาน
ธาตุ. มหาชน กระทำการบูชาสรีระของพระเถระ 7 วัน ให้รวบรวมไม้
หอมเป็นอันมาก ให้ณาปนกิจแล้วเก็บเอาธาตุทำพระเจดีย์. บทว่า
สมฺพหุลา ภิกฺขู ได้แก่ เหล่าภิกษุ ผู้อยู่ในที่ใกล้พระเถระ. คำที่เหลือ
ในบททั้งปวงง่ายทั้งนั้น.
จบ อรถถกถาปุณณสูตรที่ 5

6. พาหิยสูตร


ว่าด้วยทรงแสดงธรรมเพื่ออยู่ผู้เดียว


[118] ครั้งนั้นแล ท่านพระพาหิยะได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าถึงที่ประทับ ฯลฯ ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรด
แสดงธรรมแก่ข้าพระองค์โดยย่อ ที่ข้าพระองค์ได้ฟังแล้วพึงเป็นผู้ ๆ เดียว
หลีกออกจากหมู่ ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยว อยู่เถิด.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนพาหิยะ เธอจะสำคัญความข้อนั้น
เป็นไฉน จักษุเที่ยงหรือไม่เที่ยง. ท่านพระพาหิยะกราบทูลว่า ไม่เที่ยง
พระเจ้าข้า.
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า.
พา. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า.
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
ควรหรือที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นตัวตน
ของเรา.
พา. ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง.
พา. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า.
พ. จักษุวิญญาณ จักษุสัมผัส สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรือ
อทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย เที่ยงหรือไม่เที่ยง